เปิดฉาก “โอโมดา แอนด์ เจคู” ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ เตรียมนำรถ 4 รุ่น สร้างทางเลือกที่ดีกว่าแก่ผู้ขับขี่ชาวไทย พร้อมเริ่มจำหน่ายกลางปีนี้!
โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) โชว์ศักยภาพบริการหลังการขายครบวงจร ด้วยเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายมากกว่า 35 แห่ง พร้อมให้บริการทั่วประเทศ กางแผนปูพรมเตรียมลงทุนในไทย ภายในปี 2568
กรุงเทพฯ 20 มีนาคม 2567 – โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) หรือ OMODA & JAECOO (Thailand) ภายใต้ Chery Automobile บริษัทด้านเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก สัญชาติจีน ที่ส่งออกรถยนต์ไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ได้เปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
โดยในปีนี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จะเปิดจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรก OMODA C5 EV รถยนต์ EV 100% ในช่วงไตรมาส 2 นี้ ตามมาด้วย JAECOO 7 รถยนต์พรีเมียม เอสยูวี ออฟโรดประสิทธิภาพสูงขับขี่ได้ทุกท้องถนน จะเข้ามาจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 และรถยนต์ JAECOO 6 และ JAECOO 8 ในไตรมาสที่ 4 พร้อมโชว์รูมมากกว่า 35 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค เตรียมส่งมอบบริการ ที่ตรงความต้องการ และประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ขับขี่ชาวไทย นอกจากนี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ตั้งเป้าหมายก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากประเทศจีนในไทย และเผยความคืบหน้าแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 มุ่งยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายเฉิน ชุนชิง รองประธาน เชอรี่ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 27 ปี ในฐานะผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกของ Chery Automobile บริษัทฯ ได้ส่งออกรถยนต์ไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก มีความพร้อมด้านการผลิต โดยมีโรงงานในต่างประเทศมากกว่า 10 แห่ง พร้อมด้วยผู้แทนจำหน่ายและศูนย์บริการในต่างประเทศมากกว่า 1,500 แห่ง ตลอดจนการมีศูนย์วิจัยและพัฒนาในต่างประเทศ เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศของผู้ขับขี่ให้รถยนต์เป็น “มากกว่ารถยนต์” ทั้งในประเทศจีน เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และบราซิล ที่พร้อมจะพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในทุกภูมิภาค จากจุดแข็งและความพร้อมในครั้งนี้ บริษัทฯ จึงได้เตรียมความพร้อมและพัฒนาทีมในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในชื่อ “โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) หรือ OMODA & JAECOO (Thailand)” ที่พร้อมให้บริการแล้วในปี 2567 นี้
“สำหรับประเทศไทยถือเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นศูนย์กลางการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค เรามองเห็นแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมและการสนับสนุนรถยนต์พลังงานใหม่ของรัฐบาลไทย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) โดยเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาแบรนด์ให้เข้ากับผู้ขับขี่ชาวไทยและสอดคล้องกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไปในอนาคต”
นายฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ถือเป็นการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งในประเทศไทย และความตั้งใจในการขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การดำเนินธุรกิจของ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ได้กำหนดเป้าหมายและแผนการดำเนินการในระยะต่าง ๆ เพื่อจะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ขับขี่ชาวไทย และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เตรียมพร้อมเปิดจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรก OMODA C5 EV ในช่วงกลางปี 2567 นี้ ตามมาด้วย JAECOO 7 ที่วางแผนจะเข้ามาจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 และในไตรมาสที่ 4 จะนำรถยนต์ JAECOO 6 และ JAECOO 8 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งจะได้เห็นความคืบหน้าในปี 2568
นายฉี กล่าวเสริมว่า สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปริมาณการขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 407,000 คันในปี 2566 โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% มียอดจำหน่ายกว่า 73,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 603.66% จากปีก่อน ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นตลาดรถยนต์พลังงานแห่งใหม่ที่มีศักยภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ในการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และการลงทุนโรงงานที่จะยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) พร้อมกับตั้งเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากประเทศจีนในไทย เพื่อตอกย้ำศักยภาพและความพร้อมของแบรนด์ในการเข้ามาทำการตลาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทย และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในระดับโลก ถือเป็นการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งในประเทศไทย และความตั้งใจในการขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน นายพิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2566 โอโมดา แอนด์ เจคู ได้รับความนิยมจากผู้คนเกือบ 20 ประเทศทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์การวางตำแหน่งทางการตลาด และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รถยนต์ OMODA มียอดขายส่งออก 11,432 คัน ติดอันดับ 5 อันดับแรกของการส่งออกยานยนต์ของจีน ภายในปี 2567 นี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จะนำรถยนต์เข้ามาจำหน่ายทั้งสิ้น 4 รุ่น โดยจะเปิดจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรก OMODA C5 EV ในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่จะถึงนี้
โดย รถยนต์ OMODA C5 EV เป็นยนตรกรรม EV 100% ที่ผสมผสานการออกแบบแห่งอนาคต เข้ากับเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะ ทั้งฟังก์ชันความปลอดภัยและความสะดวกสบายแบบจัดเต็ม ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “O-UNIVERSE” เชื่อมต่อผู้ขับขี่เข้าด้วยกัน
ผ่านประสบการณ์ที่เป็น “มากกว่ารถยนต์” ตอบโจทย์ “LOHAS LIFESTYLE” ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ใส่ใจการมีชีวิตที่ดีควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะนำรถยนต์ JAECOO 7 PHEV เข้ามาจำหน่าย ซึ่งเป็นรถยนต์พรีเมียม เอสยูวี ออฟโรดประสิทธิภาพสูงที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย สามารถขับขี่ได้ทุกภูมิประเทศและสภาพพื้นผิวถนนสำหรับผู้ใช้งานในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “From Classic, Beyond Classic” ของแบรนด์ JAECOO และในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จะนำรถยนต์ JAECOO 6 และ JAECOO 8 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการตามลำดับ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้ขับขี่ชาวไทย
อย่างไรก็ตาม โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จะมุ่งหาแนวทางพัฒนาพลังงานใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับคนไทย “เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดในประเทศไทย โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จะเปิดโชว์รูม มากกว่า 35 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งล่าสุด ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับผู้แทนจำหน่ายระดับประเทศครั้งแรก สะท้อนถึงความพร้อมและความก้าวหน้าในการก่อสร้างโชว์รูมของเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย
โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ให้ความเชื่อมั่นในความพร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ขับขี่ในประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพื่อส่งมอบบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าทุกคน” นายพิชญุตม์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น